วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

เทคนิคการปลูกกล้วยน้ำว้า ให้ใหญ่ยักษ์



กล้วยน้ำว้า ปลูกไว้ดูสวยงาม และ อิ่มได้สะบายท้อง
ของกล้วยๆๆ เราอาจได้ยินกันบ่อยครั้ง เราเองก็พูดบ่อยครั้ง แต่เราก็ไม่ได้คิดถึงต้นกำเนิดหรือต้นตอ ของคำคำนี้ ผมเองก็เพิ่งมาเข้าใจตอนที่ได้ปลูกกล้วย ไว้ดูเล่น และ ฆ่าเวลายามว่าง แต่สิ่งที่ได้เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี มันตอบแทนเกินที่จะลืมคุ้ม และจะลืมลงได้ เลยต้องมาเล่าสู่กันฟังครับ วิธีการปลูก
จริงๆๆแล้ว ก็คงไม่ต้องมีวิธีการอะไรมากมาย แบบเป็นทางการกันนะครับ แค่เรามีที่ 1 X 1 ตารางเมตร ก็เพียงพอ ที่จะสามารถปลูกกล้วย ไว้เป็นไม้ประดับ สวยๆๆ ไว้โชว์ ให้หน้าบานได้แล้วครับ หลายท่านอ่านคงงง ว่าแค่ปลูกกล้วยทำไมถึงขั้นหน้าบานเชียวหรือ ทีแรกผมก็คิดอย่างทุกๆๆคน แต่ที่ทำให้หน้าาบานจริงๆๆเพราะ เพื่อนบ้านเรา ลูกค้า และคนที่ผ่านไปผ่านมา ก็ต้องหันมาร้องอูฮู้ และถามกันว่าทำไม่ใหญ่จัง พันธุ์อะไร เอามาจากไหน ขอหน่อ หรือขอซื้อหน่อได้ไหม หลุมปลูก
หลังจากเราเล็งที่ปลูก ได้ที่ประมาณ 1 X 1 ตารางเมตร เรียบร้อยแล้ว ก็ขุดหลุม ประมาณ 50 X 50 X 50 เซ็นติเมตร ( กว้าง X ยาว X สูง ) ถ้ามีปุ๋ยคอก ก็ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมสัก 1 - 2 ถ้วยแกง เอาแบบง่ายๆๆเลยครับ หรือไม่มีปุ๋ยคอก ก็หาซื้อปุ๋ยชีวภาพมาใส่แทน 1-2 ถ้วย ก็ได้ครับ เท่านี้หลุมก็พร้อมแล้วครับ

หลุมปลูก พันธุ์ พันธุ์กล้วยผมเองก็เคยได้ยินมามากมายหลายพันธุ์ เช่น มะลิอ่อง น้ำว้าขาว และอีกมากมาย แต่สวนตัวผม ไม่ได้คิดว่าไม่สำคัญ แต่คิดว่าพันธุ์กล้วยน้ำว้าบ้านๆที่เรามีกันอยู่ ทั้วทุกภาค ทุกบ้านก็ถือว่าดีพออยู่แล้ว แต่สำคัญที่เราจะดูแล ให้เขาเป็นกล้วยประดับรับ หน้าแขกของเราได้นั้น ถือเป็นการดูแลเอาใจใส่ มาที่ 1 ครับ แต่ถ้าไครอยู่ในเมือง ไม่สามารถหาเอาตาม บริเวณบ้านได้ ก็ให้หาซื้อ หรือขอซื้อมาสัก 1 หน่อก็พอที่จะมาทำไม้ประดับ แบบหน้าบานอิ้มท้องกันแล้วครับ

หน่อเพิ่งเริ่มปลูก
การดูแลบำรุงรักษา
เท่านี้ก็ปลูกเรียบร้อยครับ ที่นี้ก็อยู่ที่การดูแลแล้วครับ แต่สวนผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่จะมีความสุขที่สุด เพราะเราจะได้คอยดูมันแตกใบ แตกหน่อ แล้วก็โตวันโตคืน พอเริ่มปลูกอาทิตเดียวใบก็จะเริ่มแตก แล้วก็เริ่มโตแต่ก็เป้นช่วงที่สำคัญครับดังนั้นผมจะจัดเป็นลำดับการดูแลรักษาดังนี้นะครับ
1.การรดน้ำ ให้รดน้ำทุก 2 - 3 วัน แต่ถ้าฝนตกเราก็งดการรดน้ำ นอกจากนี้กล้วยก็ยังเป็นพืชที่ เจริญเติบโต ในเขตภูมิประเทศบ้านเราได้ดีอยู่แล้ว หากขาดการดูแลรักษา หรือ จะไปธุระสักอาทิตสองอาทิต ก็ยังอยู่ได้สะบายๆ โดยเราไม่ต้องเป็นห่วง
2.การใส่ปุ๋ย จริงๆๆ แล้ว ปุ๋ยอะไรก็ได้นะครับ แล้วแต่เท่าที่เราจะสะดวก หาซื้อง่ายใกล้มือ ก็เอาเป็นว่าถ้าเราใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอก ปุ๋ยชีวภาพ ก็ให้ใช้อัตราการใส่ปุ๋ย 1 กิโลกรัม ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 เดือนครั้ง ครั้งละ 250 กรัม แต่ถ้าจะ ใส่มากกว่านั้นก็ไม่ว่ากัน เอาขั้นต่ำไปแล้วกันนะครับ
2.1 ใส่ปุ๋ยหลังปลูก 1 สัปดาห์ ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 15-15-15
2.2 ใส่ปุ๋ยหลังครั้งที่ 1 ประมาณ 3 เดือน ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 15-15-15
2.3 ใส่ปุ๋ยหลังครั้งที่ 2 ประมาณ 3 เดือน ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 15-15-15
2.4 ใส่ปุ๋ยหลังครั้งที่ 3 ประมาณ 3 เดือน ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 13-13-21

2.5 ปุ๋ยพืชสด เมื่อกล้วยออกเครือจนเราสามมารถตัดได้ เราก็นำต้นเก่า มาสับให้เป็นชินเล็กๆ แล้วมาใส่ก็จะมีขอดีตรงที่เราจะได้ ช้วยป้องกันความชื่น และในระยะยาวยังเป็นปุ๋ยให้กับต้นใหม่อีกด้วย
3.การตัดแต่งหน่อ และ ใบแก่
การไว้หน่อ และ การตัดแต่งหน่อก็มีความสำคัญในการปลูกกล้วยมากครับเพราะจะให้ต้นโต หรือ ต้นสมบูรณ์ดี พร้อมส่งผลไปถึง ลูก หรือ เครือกล้วยด้วย หากเราไม่ตัดแต่งหน่อกล้วยออกทิ้ง ก็จะกลายเป็นกล้วยแคระแกรนไปเลยก็ได้
3.1 การตัดแต่งหน่อ ให้ตัดแต่หน่อกล้วยที่ขึ้นมาในทุกๆช่วง อยู่ตลอด หากยังไม่ถึงช่วงการไว้หน่อ
3.2 การตัดแต่งใบกล้วยที่ เหลืองเกิน 50 % ทิ้งไป พร้อมทั้งตัดใบที่งอหักลงไปด้วย เท่านี้ก็จะทำให้ ต้นกล้วยของเราดูไม่รกรุงรัง และ ดูสวยงามอีกด้วย

การตัดแต่งใบกล้วย 3.2 การไว้หน่อกล้วย เราจะไว้หน่อแรก เมื่อกล้วยของเราอายุ 4 เดือนไปแล้ว และ หน่อต่อๆๆไปทุก 4 เดือน แต่ในช่วงการออก ปลีกล้วยเราจะงด การไว้หน่อ เพื่อให้ผลกล้วย และ เครือสมบูรณ์ดี


การตัดปลีกล้วย
เมื่อปลีกล้วยแทงเครือออก มาจนเราเห็นวาเครือกล้วยที่สมบุรณ์ หมดแล้ว ให้เราตัดปลี จากหวีสุดท้ายนับไปอีก 1 -2 หวีแล้วก็ตัด เราจะได้ไว้ใช้จับ ตอนเราตัดเครือกล้วย และ ใช้ปูนแดงหรือยากันราทา เพื่อป้องกัน การเน่า

ตัดปลีตรงหวีที่ 14 เพราะลูกลีบเล็ก

เครือนี้ยังออกได้อีก เพราะปลียังใหญ่มาก
   โรค และ แมลง โดยรวมแล้ว โรค ในกล้วยก็จะมีน้อยมาก ที่โรคหลัก ในที่ปลูกกล้วยมาก ก็จะเจอ โรคไฟทอปโทร่า หรือ ที่เรียกเชื้อไฟทอปโทร่า อาจทำให้ราก เน่า โคนเน่า ใบเหลืองแห้ง หรือที่เรียกว่าตายพราย และ ก็มีหนอนม้วนใบ แต่ในที่นี้ผมจะไม่กล้าวถึง เพราะเราปลูกไม่มาก แค่ปลูกสวยงาม และ หลักๆๆแล้วถ้าเราดูแลจนสมบูรณ์โรค ก็เข้าทำลายได้ยากมาก ( การกำจัดโรคเชื้อไฟทอปโทร่า ผมจะนำมาลงในบล๊อคต่อไปนะครับ เพราะผมคิดว่าผมมีของดีที่ เป็นเพชฆาต ซึ่งเป็นคู่ปรับ กันแบบเอาอยู่ทีเดียว ไว้ติดตามกันนะครับ )
ชื่นชมกับความสำเร็จ
เพียงเท่านี้เราก็จะได้กล้วยน้ำว้า แบบสวยงาม และ ไว้โชว์หน้าบ้าน หน้าร้าน หรือคนที่เรารู้จัก นอกจากนี้ก็ยัง ใช้เป็นของฝาก ที่มีความตั้งใจจริง เพราะต้องดูแล กว่าจะได้มาซึ่งของฝาก พร้อมทั้งหน้าบานเหมือนที่ผมได้กล่าวข้างต้น พร้อมทั้งยังได้เพื่อนข้างๆบ้านเราไว้ดูแลบ้านเราด้วย ดังนั้นผมจึงเอาภาพ และ สถิติ กล้วยน้ำว้าของผมที่ปลูกหน้าร้านมาฝากกันครับ


ตลาด พอเห็นผลก็นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องตลาด ปัจจุบัญตลาดมีความต้องการคอนข้างสูง เพราะเนื้องจากปี พ.ศ.2554 ทุกคนก็ทราบดีว่าเกิดน้ำท่วมใหญ่ เลยทำให้แหล่งปลูกกล้วยภาคกลาง เกิดน้ำท่วมและกล้วยตายเกิบหมด รวมทั้งความต้องการทางการตลาดของกล้วยน้ำว้า ในการนำไปทำขนม เลี้ยงนก และ สัตว์ต่างๆอีกหลายชนิด ทำให้ราคาคอนข้างสูง
ราคาขายส่งหวีละ 17 - 20 บาท
ราคาขายปลีก 25 - 30 บาท
แต่ท่านที่ปลูกสนุกๆๆ เอาสวยงาม ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดอยู่แล้วครับ ส่วนของผมงวดนี้ เครือนี้ ให้ผลมา 13 หวี แจกเพื่อนบ้าน กับ ทานเอง 5 หวี มีคนมาเหมาหมด 7 หวี คูณ 20 บาท ยังได้ค่าปุ๋ย กับ ค้าน้ำคืนมา 140 สะบายๆเลยครับ



เอาเชือกมาวัดความกว้าง หรือเส้นรอบวงกันครับ
เส้นรอบวงยาวถึง 16 ซม.หนัก 150 กรัม
ตัดสินใจ
ดูกันแล้วก็ลองตัดสินใจ มาปลูกกล้วยน้ำว้า หรือว่าชอบกล้วยอะไร ก็ลองปลูกกันเล่นๆดูนะครับ เอาสวยงาม โชว์ เป็นอาหาร หรือเป็นของฝาก แค่กล้วยๆ ก็ลองปลูกดูครับ เวลา 1 ปีอาจมีค้ามากกว่าที่คิด ขอให้สนุกกับ การปลูกกลัวยกันนะครับ


กล้วยน้ำว้าจันทร์ กล้วยดีที่ถูกลืม

กล้วยน้ำว้า ในประเทศไทย พบว่ามีอยู่ประมาณ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้ขาว กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง และกลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้แดง โดยกล้วยน้ำว้าในแต่ละกลุ่มก็มีลักษณะการใช้งานที่เหมาะสมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น กล้วยน้ำว้าไส้ขาว ที่รู้จักกันดีคือ “กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง” เป็นกล้วยน้ำว้าไส้ขาว เมื่อนำไปทำ “กล้วยตาก” จะได้กล้วยตากที่สีเหลืองสวย ไม่ดำคล้ำ หรือเอาไปทำกล้วยแผ่นอบ ก็จะมีสีเหลืองสวยพอดี ไม่เหลืองมาก เหมือนกลุ่มกล้วยน้ำว้าเหลือง
ส่วนกล้วยน้ำว้ากลุ่มไส้เหลือง เหมาะสำหรับการรับประทานผลสด ทำกล้วยเชื่อม กล้วยทอด กล้วยบวชชี เป็นกล้วยที่เหมาะสำหรับการแปรรูป ทำขนม ใช้งานได้หลากหลายที่สุด สุดท้ายคือ กล้วยน้ำว้ากลุ่มไส้แดง เป็นกล้วยที่ติดผลค่อนข้างดก ไส้กลางค่อนข้างแข็ง มีความฝาด จะเหมาะนำไปทำกล้วยเชื่อม หรือทำไส้ข้าวต้มมัด เพราะไส้กล้วยมีความแข็ง ไม่เละ กล้วยน้ำว้ากลุ่มไส้แดงนั้น ไม่เหมาะที่จะนำไปทำกล้วยตาก เพราะกล้วยตากที่มีสีคล้ำดำ สีไม่สวย ดูเหมือนกล้วยตากเก่า
ในกรณีดังกล่าวก็เคยเกิดขึ้นกับผู้ปลูกหลายรายที่ส่งกล้วยน้ำว้าไส้แดงขายกับผู้ผลิตกล้วยตาก พบว่ากล้วยตากที่ได้มีสีคล้ำดำ หรือถ้าเอาไปทำกล้วยบวชชีก็ไม่สู้อร่อยนัก เพราะมีรสฝาด ในการเลือกปลูกกล้วยน้ำว้านั้นหลายท่านก็ต้องพิจารณาตลาดที่จะรับซื้อเป็นอย่างไร ขายให้กับใคร แล้วเขาเอาไปทำอะไร

กล้วยน้ำว้านวลจันทร์ กล้วยดีที่เริ่มมีการขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้น ที่แผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้หน่อกล้วยน้ำว้านวลจันทร์ บางคนเรียกกล้วยน้ำว้าเงิน หรือกล้วยน้ำว้าหนัง เริ่มแรกนำมาปลูกแซมเพื่อเป็นร่มเงาให้ไม้ประธาน เมื่อออกเครือปรากฏว่า ลักษณะของผลขนาดใหญ่ ใกล้เคียงกับกล้วยน้ำว้าชนิดอื่น ผลป้อม ทรงกระบอก ปลายค่อนข้างแหลม ผลดิบมีสีเขียวขาวนวล ผิวผลมีสีขาวกว่ากล้วยน้ำว้าพันธุ์อื่น ผลเมื่อสุกมีสีเหลืองนวล เนื้อผลสีขาวอมชมพู รสชาติหวานจัด เนื้อแน่น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ปัจจุบันทางแผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้นำกล้วยน้ำว้านวลจันทร์มาแปรรูปเป็นกล้วยอบลมร้อน มีรสชาติอร่อยมาก กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และรสชาติอร่อยมาก
การปลูกกล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้านั้นสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ต้องมีน้ำให้ไม่ขาดแคลน แต่ในบางพื้นที่ที่แหล่งน้ำไม่สมบูรณ์ ก็จะเลือกที่จะปลูกกล้วยในช่วงต้นฤดูฝน ราวปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม เพื่อลดภาระในการให้น้ำ และที่สำคัญต้นกล้วยจะตั้งตัวได้เร็ว โดยหลังจากปลูกได้เพียง 1 เดือน ต้นกล้วยก็จะมียอดใหม่โผล่เหนือพื้นดิน
ส่วนขยายพันธุ์ของกล้วยสามารถใช้ได้หลายแบบ เช่น “หน่อกล้วย” ที่ใช้ได้ทั้งหน่ออ่อน คือ เป็นหน่อขนาดเล็ก เพิ่งแทงออกมาจากต้นแม่ ยังไม่มีใบให้เห็น หน่อใบแคบเป็นหน่อที่พอจะมีใบบ้าง แต่ใบจะมีลักษณะเรียวเล็ก ชาวสวนมักเรียกหน่อชนิดดังกล่าวว่า “หน่อดาบ” หน่อใบกว้าง เป็นหน่อที่มีใบโตกว้าง คล้ายกับใบจริง ส่วนของ “เหง้า” เป็นเหง้าหน่อกล้วยที่ต้นโตแล้ว แต่ยังไม่ตกผล เมื่อปลูกเราจะตัดยอดหรือลำต้นออก ส่วนของ “ตา” เหง้าหรือหน่อที่ตกผลแล้วหรือยังไม่ตกผล ถ้ามีขนาดใหญ่พอจะมีตาอยู่หลายตา ซึ่งเราสามารถตัดเหง้าของหน่อ แล้วใช้มีดแบ่งออกเป็นชิ้นๆ เอาไปปลูกในแปลงหรือชำลงกระบะหรือในถุงดำที่บรรจุขี้เถ้าแกลบ ไม่นานตาเหล่านั้นจะกลายเป็นต้นกล้วยขนาดเล็กให้เราได้แยกปลูกลงแปลงต่อไป แต่วิธีดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะขั้นตอนยุ่งยากเหมาะกับการขยายพันธุ์กล้วยที่มีจำนวนน้อย หรือมีราคาแพง

การขุดแยกหน่อจากต้นแม่นั้น ต้องควรทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้หน่อช้ำมากนัก ควรใช้เสียมที่มีความคมแทงให้ขาด เพียง 1-2 ครั้ง เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็ใช้มีดปาดเอาส่วนของรากออกให้หมด เมื่อเวลาเรานำไปปลูกกล้วยจะสร้างรากใหม่ขึ้นมา ส่วนหน่อที่มีใบมากจนเกินไปก็ให้ลิดตัดใบออกบ้าง หรือหน่อมีความสูงหรือมีขนาดใหญ่จนเกินไปก็ให้ตัดเฉือนลำต้นให้สั้นลง แต่ถ้าเป็นไปได้การตัดทอนยอดหรือต้นกล้วยควรตัดก่อนที่จะแยกออกจากต้นแม่ ซึ่งการตัดยอดหรือลำต้นของกล้วยไม่ส่งผลเสียแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกัน กลับทำให้ลำของหน่อกล้วยมีโคนที่ใหญ่อวบอ้วนขึ้น เนื่องจากอาหารจากเหง้าไม่ต้องเลี้ยงยอดและใบ อาหารจึงไปสะสมและสร้างโคนให้ใหญ่ขึ้นนั่นเอง โดยหน่อที่แยกไปจากต้นแม่สามารถนำไปปลูกได้ทันที หรือถ้ายังไม่พร้อมก็สามารถเก็บรักษาไว้ในที่ร่มได้ก่อนนานนับสัปดาห์
การปลูก ในพื้นที่รกควรดายหญ้า หรือไถพรวนเสียก่อน ก่อนการปลูก 7-10 วัน เพื่อปราบวัชพืชและทำให้ดินร่วนโปร่ง สำหรับพื้นที่น้ำท่วมจำเป็นต้องยกร่องเสียก่อน ระยะปลูกกล้วยนั้นมีความสำคัญมาก ถ้าปลูกชิดกันมากเกินไปก็จะทำให้เกิดร่มเงา ทำให้หน่อที่งอกขึ้นมาใหม่จะไม่ค่อยแข็งแรง ลำต้นเรียวเล็ก เพราะได้รับแสงไม่เพียงพอนั่นเอง ฉะนั้นการเลือกระยะปลูกต้องคำนึงถึงแสงแดด ความสมบูรณ์ของดินและชนิดของพันธุ์กล้วยประกอบกัน
สำหรับการปลูกกล้วยบนพื้นที่ราบ หลังจากกำจัดวัชพืชขุดดินหรือไถพรวนเรียบร้อยแล้ว ตากดินราว 7-10 วัน ก็จะขุดหลุมขนาด 50x50 เซนติเมตร กองดินชั้นบน (หน้าดิน) ไว้ด้านหนึ่ง ส่วนดินชั้นล่างก็จะกองไปอีกด้านหนึ่งของหลุม จากนั้นให้ใส่ดินชั้นบนลงก้นหลุมพร้อมกับใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปด้วยเพื่อเป็นปุ๋ยรองก้นหลุม คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำหน่อกล้วยที่เตรียมไว้ วางหน่อกล้วยลงกลางหลุม
ถ้าต้องการให้กล้วยออกปลีในทิศทางเดียวกันทุกหลุม โดยกล้วยจะแทงปลีออกมาในทิศทางตรงกันข้ามกับรอยแผลนั่นเอง เมื่อวางหน่อเรียบร้อยก็จะนำดินส่วนที่เหลือกลบหลุมให้แน่น ถ้าเป็นการปลูกกล้วยในช่วงฤดูฝนก็ควรพูนดินให้สูง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำขัง แต่ถ้าปลูกในช่วงฤดูอื่นก็ไม่จำเป็นต้องพูนดินสูง เพราะเวลาให้น้ำ น้ำที่ให้จะได้ไม่ไหลออกไป ส่วนการปลูกกล้วยแบบยกร่อง มักจะพบเห็นในพื้นที่ในเขตภาคกลาง โดยเฉพาะกล้วยหอมที่มักจะนิยมปลูกกล้วยริมสันร่องทั้ง 2 ข้าง โดยตรงกลางจะเว้นเป็นทางเดิน โดยจะใช้ระยะปลูกถี่เพียง 3 เมตร เพราะเกษตรกรมักจะปลูกกล้วยใหม่ทุกปี และการวางหน่อปลูกก็จะนิยมหันรอยแผลที่เกิดจากการแยกหน่อไปทางร่องน้ำ เพื่อให้กล้วยตกเครือมาในทิศทางร่องทางเดิน เพื่อจะสะดวกในการเก็บเกี่ยวนั่นเอง

การให้น้ำแก่ต้นกล้วย แม้ว่าต้นกล้วยเป็นพืชที่ค่อนข้างทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี แต่ถ้าปลูกกล้วยเป็นการค้า การให้น้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งกล้วยมีความต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องด้วยกล้วยเป็นพืชใบใหญ่ ลำต้นอวบน้ำและน้ำจะช่วยส่งเสริมเรื่องของการเจริญเติบโต ยกตัวอย่าง เช่น ในช่วงหน้าแล้งจึงไม่ควรให้ต้นกล้วยขาดน้ำ หน้าดินควรมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพราะรากกล้วยส่วนใหญ่จะเจริญและแผ่กระจายเป็นจำนวนมากบริเวณผิวดิน วิธีการให้น้ำแก่ต้นกล้วยมีหลายวิธี เช่น ใช้สายยางเดินรด ติดตั้งระบบน้ำแบบสปริงเกลอร์ ปล่อยน้ำเข้าร่องปลูก ฯลฯ
การใส่ปุ๋ยแก่ต้นกล้วยค่อนข้างมีความสำคัญ ส่งผลถึงการเจริญเติบโต และผลผลิตที่จะออกมาก โดยเกษตรกรมักจะเน้นการใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราการให้ประมาณ 200-300 กรัม หรือเฉลี่ย 1 กิโลกรัม ต่อต้น ต่อปี โดยจะแบ่งใส่ 4 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 จะใส่หลังปลูกหน่อกล้วยไปแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ ต่อจากนั้นทุกๆ 3 เดือน ก็จะมีการให้ปุ๋ยครั้งที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งการใส่ปุ๋ยเคมีครั้งที่ 4 เกษตรกรหลายรายที่ใส่ใจในเรื่องของรสชาติ ก็มักจะเปลี่ยนจาก สูตร 16-16-16 มาใช้ปุ๋ยเคมี สูตร 13-13-21 ก่อนการเก็บเกี่ยว
การตัดแต่งหน่อกล้วย หลังจากปลูกกล้วยได้ประมาณ 5-6 เดือน หน่อใหม่จะเกิดขึ้นมาก่อนที่กล้วยจะตกเครือเล็กน้อย ซึ่งเราควรเลือกไว้หน่อเพียง 2 หน่อแรกก็เพียงพอ เพื่อเตรียมไว้ทดแทนต้นแม่เดิมที่จะต้องถูกตัดทิ้งในอนาคต หน่อใหม่ที่เลือกควรอยู่ตรงกันข้ามของลำต้นเดิม โดยหน่อแรกๆ นั้นจะมีรากลึกและแข็งแรงถือว่าดีที่สุด ส่วนหน่อที่เกิดมาทีหลัง ชาวสวนมักเรียกว่า “หน่อตาม” ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นมา จะทำให้กล้วยเครือเล็กลง จึงทำลายทิ้งเสียโดยการทำลายหน่อกล้วย ก็อาจจะใช้วิธีการขุดหน่อออก แต่ต้องกระทำเฉพาะตอนที่กล้วยยังไม่ตกเครือเท่านั้น เพื่อไม่ให้ต้นกล้วยชะงักทำให้ผลกล้วยเล็กลงได้
การตัดแต่งใบกล้วย เนื่องจากใบกล้วยมีใบเจริญเติบโตออกมาเรื่อยๆ เมื่อใบใหม่ออกมา ใบเก่าก็จะแก่ และแห้งติดลำต้น ชาวสวนต้องหมั่นลอกกาบ ใช้ขอเกี่ยวสางตัดใบกล้วยออก โดยจะสางใบกล้วยที่แห้งและเป็นโรคออกอยู่เสมอ โดยถือหลักว่าถ้าใบแห้งและแก่มีสีเหลืองเกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 50% ของใบกล้วยก็ควรตัดทิ้ง เพราะถือว่าไม่มีประโยชน์ในการสังเคราะห์แสงแต่อย่างใด โดยมักจะเลี้ยงใบไม่น้อยกว่า 7-8 ใบ และเมื่อเครือจวนแก่ก็แต่งใบให้เหลือ 4-5 ใบ ก็เพียงพอ

การค้ำต้นกล้วย เมื่อเครือกล้วยใกล้แก่ มีน้ำหนักค่อนข้างมาก จะทำให้ต้นโค่นล้มได้ง่าย หรือมีลมพัดแรงๆ ชาวสวนต้องมีไม้ไผ่หรือไม้เนื้ออ่อนที่มีง่ามไว้ค้ำยันเครือกล้วยการค้ำต้นกล้วย เมื่อเครือกล้วยใกล้แก่ มีน้ำหนักค่อนข้างมาก จะทำให้ต้นโค่นล้มได้ง่าย หรือมีลมพัดแรงๆ ชาวสวนต้องมีไม้ไผ่หรือไม้เนื้ออ่อนที่มีง่ามไว้ค้ำยันเครือกล้วย
เมื่อกล้วยมีอายุได้ประมาณ 8-12 เดือน นับตั้งแต่วันปลูกกล้วยน้ำว้า (รวมถึงกล้วยไข่ กล้วยหอม) จะออกปลีในระยะใกล้เคียงกัน ก่อนที่กล้วยจะแทงปลี จะสังเกตได้ว่ากล้วยจะแทง “ใบธง” คือ ใบจะมีลักษณะไม่เหมือนใบทั่วไป เป็นใบขนาดเล็ก ใบชี้ตรงขึ้นท้องฟ้า เมื่อเห็นใบธง เป็นสัญญาณให้เราทราบว่า กล้วยของเรากำลังจะออกปลี ซึ่งปลีกล้วยจะโผล่พ้นตายอดแล้วจะเริ่มทยอยบานให้เห็นดอกกล้วย (หวีกล้วย) ดอกจะบานไล่เวียนลงมา ซึ่งจะเจริญเป็นหวีกล้วยต่อไป ไม่นานปลีจะบานถึงดอกกล้วย หรือหวีกล้วย ซึ่งมีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์อยู่ส่วนปลายของปลี ซึ่งชาวสวนกล้วยเรียก “หวีตีนเต่า” โดยช่องระยะเวลาการบานของดอกกล้วยจะใช้เวลาประมาณ 10-17 วัน หลังจากตกปลี เมื่อเห็นว่าดอกกล้วยบานเกือบสุดแล้ว ก็ต้องตัดปลีออก เพื่อช่วยให้ผลกล้วยมีการเติบโตได้เต็มที่ กล้วยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 100-110 วัน หลังจากปลีโผล่พ้นยอดออกมา หรือสังเกตที่ผลกล้วยในส่วนรวมของเครือว่าจะมีลักษณะผลค่อนข้างกลมไม่เป็นเหลี่ยม
การเก็บเกี่ยวกล้วยเมื่อเห็นว่าผลแก่ ก็ให้เก็บเอาไม้ค้ำเครือกล้วยออก การตัดเครือกล้วยก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง แนะนำให้ใช้มีดฟันที่กลางลำต้นกล้วยให้ลึก พอที่จะทำให้ลำต้นกล้วยจะค่อยเอนโน้มมาในทิศทางของผู้รับยืนอยู่ หากไม่มีความชำนาญก็ต้องช่วยกันตัดกล้วยสัก 2 คน โดยคนหนึ่งตัด อีกคนคอยรับเครือกล้วย เมื่อตัดเครือกล้วยลงมาได้แล้ว นำเครือกล้วยให้ตั้งปลายเครือกล้วยขึ้นข้างบน ให้รอยตัดอยู่ข้างล่าง ตั้งกับพื้น เพื่อไม่ให้ยางกล้วยไหลย้อนลงมาเปื้อนหวีกล้วย กัดผิวกล้ว
เมื่อกล้วยมีอายุได้ประมาณ 8-12 เดือน นับตั้งแต่วันปลูกกล้วยน้ำว้า (รวมถึงกล้วยไข่ กล้วยหอม) จะออกปลีในระยะใกล้เคียงกัน ก่อนที่กล้วยจะแทงปลี จะสังเกตได้ว่ากล้วยจะแทง “ใบธง” คือ ใบจะมีลักษณะไม่เหมือนใบทั่วไป เป็นใบขนาดเล็ก ใบชี้ตรงขึ้นท้องฟ้า เมื่อเห็นใบธง เป็นสัญญาณให้เราทราบว่า กล้วยของเรากำลังจะออกปลี ซึ่งปลีกล้วยจะโผล่พ้นตายอดแล้วจะเริ่มทยอยบานให้เห็นดอกกล้วย (หวีกล้วย) ดอกจะบานไล่เวียนลงมา ซึ่งจะเจริญเป็นหวีกล้วยต่อไป ไม่นานปลีจะบานถึงดอกกล้วย หรือหวีกล้วย ซึ่งมีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์อยู่ส่วนปลายของปลี ซึ่งชาวสวนกล้วยเรียก “หวีตีนเต่า” โดยช่องระยะเวลาการบานของดอกกล้วยจะใช้เวลาประมาณ 10-17 วัน หลังจากตกปลี เมื่อเห็นว่าดอกกล้วยบานเกือบสุดแล้ว ก็ต้องตัดปลีออก เพื่อช่วยให้ผลกล้วยมีการเติบโตได้เต็มที่ กล้วยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 100-110 วัน หลังจากปลีโผล่พ้นยอดออกมา หรือสังเกตที่ผลกล้วยในส่วนรวมของเครือว่าจะมีลักษณะผลค่อนข้างกลมไม่เป็นเหลี่ยม
การเก็บเกี่ยวกล้วยเมื่อเห็นว่าผลแก่ ก็ให้เก็บเอาไม้ค้ำเครือกล้วยออก การตัดเครือกล้วยก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง แนะนำให้ใช้มีดฟันที่กลางลำต้นกล้วยให้ลึก พอที่จะทำให้ลำต้นกล้วยจะค่อยเอนโน้มมาในทิศทางของผู้รับยืนอยู่ หากไม่มีความชำนาญก็ต้องช่วยกันตัดกล้วยสัก 2 คน โดยคนหนึ่งตัด อีกคนคอยรับเครือกล้วย เมื่อตัดเครือกล้วยลงมาได้แล้ว นำเครือกล้วยให้ตั้งปลายเครือกล้วยขึ้นข้างบน ให้รอยตัดอยู่ข้างล่าง ตั้งกับพื้น เพื่อไม่ให้ยางกล้วยไหลย้อนลงมาเปื้อนหวีกล้วย กัดผิวกล้ว การค้ำต้นกล้วย เมื่อเครือกล้วยใกล้แก่ มีน้ำหนักค่อนข้างมาก จะทำให้ต้นโค่นล้มได้ง่าย หรือมีลมพัดแรงๆ ชาวสวนต้องมีไม้ไผ่หรือไม้เนื้ออ่อนที่มีง่ามไว้ค้ำยันเครือกล้วย
เมื่อกล้วยมีอายุได้ประมาณ 8-12 เดือน นับตั้งแต่วันปลูกกล้วยน้ำว้า (รวมถึงกล้วยไข่ กล้วยหอม) จะออกปลีในระยะใกล้เคียงกัน ก่อนที่กล้วยจะแทงปลี จะสังเกตได้ว่ากล้วยจะแทง “ใบธง” คือ ใบจะมีลักษณะไม่เหมือนใบทั่วไป เป็นใบขนาดเล็ก ใบชี้ตรงขึ้นท้องฟ้า เมื่อเห็นใบธง เป็นสัญญาณให้เราทราบว่า กล้วยของเรากำลังจะออกปลี ซึ่งปลีกล้วยจะโผล่พ้นตายอดแล้วจะเริ่มทยอยบานให้เห็นดอกกล้วย (หวีกล้วย) ดอกจะบานไล่เวียนลงมา ซึ่งจะเจริญเป็นหวีกล้วยต่อไป ไม่นานปลีจะบานถึงดอกกล้วย หรือหวีกล้วย ซึ่งมีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์อยู่ส่วนปลายของปลี ซึ่งชาวสวนกล้วยเรียก “หวีตีนเต่า” โดยช่องระยะเวลาการบานของดอกกล้วยจะใช้เวลาประมาณ 10-17 วัน หลังจากตกปลี เมื่อเห็นว่าดอกกล้วยบานเกือบสุดแล้ว ก็ต้องตัดปลีออก เพื่อช่วยให้ผลกล้วยมีการเติบโตได้เต็มที่ กล้วยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 100-110 วัน หลังจากปลีโผล่พ้นยอดออกมา หรือสังเกตที่ผลกล้วยในส่วนรวมของเครือว่าจะมีลักษณะผลค่อนข้างกลมไม่เป็นเหลี่ยม
การเก็บเกี่ยวกล้วยเมื่อเห็นว่าผลแก่ ก็ให้เก็บเอาไม้ค้ำเครือกล้วยออก การตัดเครือกล้วยก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง แนะนำให้ใช้มีดฟันที่กลางลำต้นกล้วยให้ลึก พอที่จะทำให้ลำต้นกล้วยจะค่อยเอนโน้มมาในทิศทางของผู้รับยืนอยู่ หากไม่มีความชำนาญก็ต้องช่วยกันตัดกล้วยสัก 2 คน โดยคนหนึ่งตัด อีกคนคอยรับเครือกล้วย เมื่อตัดเครือกล้วยลงมาได้แล้ว นำเครือกล้วยให้ตั้งปลายเครือกล้วยขึ้นข้างบน ให้รอยตัดอยู่ข้างล่าง ตั้งกับพื้น เพื่อไม่ให้ยางกล้วยไหลย้อนลงมาเปื้อนหวีกล้วย กัดผิวกล้ว

กล้วยนมสาว เขาว่าอร่อยสุดยอด

ผมได้ยินมานานเรื่องความอร่อยของกล้วยนมสาว แต่พอได้ทานจริงๆครั้งแรก บอกตามตรงว่าไม่ประทับใจเลย และคิดว่าคำบอกเล่านั้นผิด แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ความคิดของผมเองต่างหากนั้นที่ผิด ผิดที่ความรู้ที่ผมได้มานั้นขาดความครบถ้วน ผมทานกล้วยในระยะที่ไม่เหมาะสม ผมเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อในสิ่งที่ประจักรได้ด้วยตนเอง บ่อยครั้งที่ลองทำเองแล้วไม่ได้ผลแบบที่ได้ยินมา ก็มักจะคิดไปว่าสิ่งนั้นอาจไม่ถูก ไม่ค่อยได้คิดเลยว่าสิ่งที่ผิดพลาดนั้นอาจเป็นตัวเราเองก็ได้ คนเราก็แบบนี้หล่ะครับ แล้วประสาอะไรกับอีกหลายๆคน ที่เลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเอง ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือทดลองดูเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ด่วนตัดสินไปเสียก่อนแล้ว ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/504897

กล้วยมาอีกแล้วครับ ก็กล้วยนั้นมีมากมายหลายร้อยชนิด แถมยังเป็นของโปรดของผมเสียด้วย ที่บ้านก็เลยปลูกไว้มากมายหลายชนิด เคยมีคนบอกผมว่าปลูกอะไรก็ได้แต่ไม่เคยคิดจะปลูกกล้วยเลย ก็คงเพราะมันแสนจะธรรมดาๆเสียเหลือเกิน แบบนี้หล่ะครับอะไรที่พบเห็นกันกลาดเกลื่อนผู้คนก็มักมองไม่เห็นคุณค่า แต่เชื่อไหมครับ ถ้ากล้วยเป็นของหายาก เราจะไม่คิดแบบนั้น

ผมเปิด Youtube ดูเรื่องเกี่ยวกับกล้วยบ่อยๆ ก็เห็นว่าประเทศเขตหลายแถบยุโรป/อเมริกาชอบกันมาก พยายามจะปลูกกล้วยให้ได้ บางคนก็บ้าปลูกประดับกันในห้องรับแขกเลย ซึ่งก็ไม่ง่ายเลยเพราะกล้วยไม่ชอบอากาศหนาว และกล้วยยังเป็นผลไม้ที่มีการบริโภคกันมากที่สุดในโลก แม้แต่ในประเทศเขตหนาวที่ปลูกกล้วยไม่ได้ กล้วยก็ยังเป็นผลไม้ที่มีปริมาณการบริโภคสูงที่สุด นั่นแสดงให้เห็นเลยว่า ของธรรมดาๆนี้สำคัญกับมนุษย์เราขนาดไหน

สำหรับคนธรรมดาๆแบบผม ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่ากล้วยก็คงเป็นผลไม้ที่ทานมากที่สุดในแต่ละปี แต่น่าแปลกใจที่เวลาเราถามใครว่าชอบทานผลไม้อะไรมากที่สุด ถึงกล้วยจะเป็นคำตอบหนึ่งแต่มักไม่ใช่อันดับหนึ่ง แต่เชื่อเถอะครับถ้าวันหนึ่งโลกนี้ไม่มีกล้วยแล้วคำตอบที่ได้นี้จะเปลี่ยนไป ขนาดอาหารสำหรับนักบินอวกาศของนาซ่ายังมีกลิ่นกล้วยเลยนี่ครับ นั่นคงทำให้ใครบางคนที่อยู่ห่างไกลจากโลกของเรารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

ผมปลูกกล้วยหลายชนิด เพราะถึงจะชอบทานกล้วย แต่เป็นคนขี้เบื่อที่จะทานรสชาดอะไรซ้ำๆ ก็เลยต้องปลูกกล้วยหลายๆชนิดจะได้เปลี่ยนรสสัมผัสไปเรื่อยๆ และวันนี้กล้วยที่บ้านที่จะนำมาแนะนำกันก็คือ “กล้วยนมสาว”

กล้วยนมสาว, Musa (AAB group) "Kluai Nom Sao" เป็นกล้วยโบราณจากภาคใต้ที่แสนอร่อยอีกชนิดหนึ่ง ที่ผมเห็นว่าน่าจะลองหามาปลูกทานดูที่บ้าน ที่บอกต้องปลูกทานเอง เพราะว่ามันไม่ใช่ของที่จะหาซื้อกันได้ง่ายๆเลย ขนาดคนใต้ส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักเลย จะมีหลุดมาขายบ้าง ก็เป็นความบังเอิญมากกว่า อย่างที่พิษณุโลกก็มีแม่ค้าจากตลาดใต้ปลูกแล้วเอามาขาย แต่ขายในชื่อ “กล้วยน้ำว้าใต้” เพราะแม่ค้าก็ไม่รู้จักชื่อ รู้แต่ลูกชาวเอาหน่อมาจากใต้ หน้าตาก็คล้ายๆกล้วยน้ำว้า ขายในราคาเดียวกับกล้วยน้ำว้าธรรมดานี่หล่ะครับ ใครสนใจอยากจะชิมก็ไปเดินหาดูที่ตลาดใต้ได้ครับ แต่ไม่ได้มีมาขายทุกวันหลอกนะ อันนี้ก็แล้วแต่ดวง

กล้วยนมสาว มีลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีสีเขียวเข้ม มีปื้นสีดำ ลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีสีเขียวเข้ม ก้านใบค่อนข้างสั้น มีประดำ ร่องก้านใบเปิด ปลีเป็นทรงดอกบัว ปลายแหลม สีแดงอมม่วง เครือหนึ่งมี 5 - 7 หวี หวีหนึ่งมี 10 -12 ผล ผลอ้วนกลมผิวสีสดใส ปลายผลมีจุกใหญ่งอนขึ้น ผลสุกเปลือกหนา

กล้วยหน้าตาแบบกล้วยน้ำว้าชนิดนี้ มีดีที่กลิ่นครับ กลิ่นของกล้วยนมสาวหอมเหมือนกล้วยหอม และหวานอร่อย ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ดูจากชื่อวิทยาศาสตร์ AAB ก็พอจะเดาลักษณะได้แล้ว ดูไม่ยากครับ กล้วยในประเทศไทยมีต้นกำเนิดหลักแค่ 2 ชนิดเท่านั้น คือกลุ่มกล้วยป่า แทนด้วย AAA กล้วยกลุ่มนี้ก็พวกกล้วยหอมทั้งหลาย ผมยาวๆกลิ่นหอมๆ และกลุ่มกล้วยตานี ก็กลุ่มนี้ก็ลูกกลมสั้น รสคล้ายๆกล้วยน้ำว้า ที่เหลือเป็นกล้วยที่กลายพันธุ์ไปจากเดิมหรือผสมข้ามพันธุ์ กลุ่มผสมข้ามพันธุ์นั้นถ้ามีตัว A มาก กลิ่นรสก็จะไปทางกล้วยหอม ถ้ามี B มากก็จะไปทางน้ำว้า แต่กล้วยน้ำว้าก็เป็นลูกผสมข้ามสายพันธุ์เหมือนกัน ฉะนั้นรหัสของกล้วยนมสาวคือ AAB มี A มาก จึงหอมเหมือนกล้วยหอม แต่มีพันธุกรรมของตานีผสมอยู่บ้าง ผลก็เลยสั้นๆป้อมๆ

กล้วยนมสาวเป็นกล้วยทานผลสด ที่หลายคนยกให้เป็นกล้วยที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย คือผมใช้คำว่าหลายคนนะครับ แปลว่าบางคนก็เห็นต่างจากนั้น ก็อย่างว่านะ กลิ่นรสนั้นเป็นเรื่องของรสนิยม แต่สำหรับผมนั้นกล้วยนมสาวจะทานได้อร่อยที่สุดต้องทานให้ได้จังหวะด้วย

ประการแรกกล้วยที่จะตัดบ่มได้นั้นต้องไม่อ่อนแก่เกินไป ถ้าอ่อนเกินไปจะสุกช้า เน่าขณะบ่ม หรือเนื้อแข็งเป็นไตๆได้ ถ้าแก่เกินไปเนื้อจะเละมากและผลจะแตก ระยะเก็บที่เหมาะคือแม่ผลแก่กลมแล้วและมีสีอ่อนลง หรือเริ่มมีประสีส้มน้ำตาลอ่อน ซึ่งบางผลจุกเกสรตัวเมียจะยังไม่หลุดไป ซึ่งถ้าแก่กว่านี้ผลจะหดกลมลงคล้ายซาลาเปา จึงเป็นที่มาของชื่อกล้วยนมสาว แต่ถ้าปล่อยกล้วยแก่ขนาดนั้นผลจะแตกเสียหายหมด เมื่อบ่มแล้วต้องคอยสังเกตกล้วยทุกวัน ระยะที่ทานอร่อยที่สุดคือ สองวันแรกที่ผลเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แต่ก้านผลและจุกยังเป็นสีเขียวอยู่ ถ้าเลยไปแค่วันเดียวผลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งหมด แบบในภาพที่ผมถ่ายมาก็สุกเกินไปแล้ว เนื้อกล้วยจะเละและเปลือกจะนิ่มจนปอกยาก แต่ถ้าทานในระที่ก้านและจุกยังเขียวๆอยู่เนื้อจะเหนียวแน่นรสหอมหวานอร่อยมากเลยครับ และถ้าทานไม่หมดในระยะนี้ก็ให้เก็บแช่ตู้เย็นเอาไว้ เพราะถ้าปล่อยไว้ในอุณหภูมิห้องแล้ว ในวันรุ่งขึ้นก็จะสุกมากเกินไปแล้ว ของอร่อยก็เล่นตัวแบบนี้หล่ะครับ อยากจะบอกว่าเหมือนสาวๆก็ไม่ใช่ เพราะสมัยนี้เล่นตัวมากมักได้แห้ว เพราะผู้ชายดีๆหายาก ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงสมัยนี้เลยต้องเป็นฝ่ายไล่ล่าซะเองอย่างที่เห็นๆกันอยู่
ผมได้ยินมานานเรื่องความอร่อยของกล้วยนมสาว แต่พอได้ทานจริงๆครั้งแรก บอกตามตรงว่าไม่ประทับใจเลย และคิดว่าคำบอกเล่านั้นผิด แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ความคิดของผมเองต่างหากนั้นที่ผิด ผิดที่ความรู้ที่ผมได้มานั้นขาดความครบถ้วน ผมทานกล้วยในระยะที่ไม่เหมาะสม ผมเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อในสิ่งที่ประจักรได้ด้วยตนเอง บ่อยครั้งที่ลองทำเองแล้วไม่ได้ผลแบบที่ได้ยินมา ก็มักจะคิดไปว่าสิ่งนั้นอาจไม่ถูก ไม่ค่อยได้คิดเลยว่าสิ่งที่ผิดพลาดนั้นอาจเป็นตัวเราเองก็ได้ คนเราก็แบบนี้หล่ะครับ แล้วประสาอะไรกับอีกหลายๆคน ที่เลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเอง ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือทดลองดูเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ด่วนตัดสินไปเสียก่อนแล้ว

13 ผลไม้ลดน้ำหนัก


13 ผลไม้ลดนำ้หนัก
ผลไม้ลดน้ำหนักมีอะไรบ้างนะ เพราะเคยได้ยินมาว่าผลไม้หลายชนิดมีน้ำตาลสูง กินแล้วไม่ได้ช่วยให้ผอมได้เลย...
โอ๊ย ๆ เห็นหลายคนไปเที่ยวทะเล อวดหุ่นสวยในชุดบิกินี่แล้วถ่ายรูปลงโซเซียลกันเป็นว่าเล่น กระตุ้นอารมณ์อยากเที่ยวทะเลของเราให้พุ่งปรี๊ด แต่พอกลับมามองสภาพหุ่นตัวเองตอนนี้ ทั้งเผละทั้งอ้วน มีไขมันส่วนเกินกระจายไปทั้งตัว แบบนี้เห็นทีจะใส่บิกินี่อวดสายตาใครไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นมาลดความอ้วนกันเถอะ ! แต่ถ้ากลัวว่าออกกำลังกายจะช่วยให้ผอมไม่ทันใจ 13 ผลไม้ตัวแม่เรื่องลดน้ำหนักเหล่านี้ที่เว็บไซต์ all women stalk เขาแนะนำมา ก็ช่วยรีดไขมันส่วนเกินคุณได้อีกทางนะ

1.แอปเปิ้ล
แอปเปิลเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และเกลือแร่ที่ดีต่อร่างกาย ด้วยเหตุผลนี้แอปเปิลจึงเป็นผลไม้ตัวแม่สุดจี๊ดที่ช่วยลดน้ำหนัก เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้คุณอิ่ม ไม่กินจุบจิบ ระบบการขับถ่ายก็จะดีเลิศ แถมยังมีวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งได้อีกต่างหาก

2.ลูกแพร์
ถ้าพูดถึงผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงปรี๊ด ลูกแพร์ก็คงติดอันดับผลไม้ที่ว่านั้นด้วย และอาจจะมีภาษีดีกว่านิดนึงตรงที่มีโพแทสเซียมช่วยบำรุงหัวใจ และสุขภาพร่างกายโดยรวมของเราได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า กินลูกแพร์ลูกเดียวได้ทั้งความอิ่มท้อง รวมทั้งช่วยบำรุงหัวใจไปด้วยในตัวเลยล่ะ

3.กล้วยนำ้ว้า
กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีทั้งไฟเบอร์ โพแทสเซียม และวิตามินบี 6 ที่สูงมาก เฉลี่ยแล้วกล้วยน้ำว้า 1 ลูก จะให้วิตามินบีกับร่างกายได้ถึง 30% เทียบเท่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว แล้ววิตามินบี 6 ดียังไงล่ะ ? จุดนี้บอกได้เลยว่า วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนาน ดังนั้นใครที่กำลังไดเอตอยู่ กล้วยน้ำว้าช่วยคุณได้เยอะเลยล่ะ

4.บลูเบอรี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รีอย่างบลูเบอร์รีลูกเล็ก ๆ ก็มีอานุภาพในการบำรุงดูแลร่างกายเราได้มากมาย เริ่มตั้งแต่ช่วยรักษาระดับอินซูลิน ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคอ้วน รวมถึงลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย นอกจากนี้ผลวิจัยล่าสุดยังพิสูจน์มาแล้วด้วยว่า บลูเบอร์รีสามารถกำจัดเซลล์ไขมันในร่างกายได้ผลชะงัด รู้ประโยชน์ของบลูเบอร์รีกันไปแล้ว ก็อย่าลืมกินบลูกเบอร์รีกันเยอะ ๆ นะจ๊ะ

5.สตอว์เบอรรี่
นอกจากบลูเบอร์รีแล้ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รียังส่งสตรอว์เบอร์รีลูกแดง ๆ มาช่วยคนอยากหุ่นสวยกระชับอีกหนึ่งชนิด และด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มการผลิตฮอร์โมนอะดิโปเนกติน (Adiponectin) และฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จัดการไขมันสะสมในร่างกายได้อยู่หมัด จึงทำให้สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ตัวแม่เรื่องการลดน้ำหนักที่ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รียังมีสารต่อต้านอาการอักเสบ สามารถช่วยซ่อมแซมรักษาเนื้อเยื่อที่สึกหรอ และอักเสบในร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วยค่ะ

6.กีวี
สำหรับคนที่ชื่นชอบรสชาติเปรี้ยวอมหวานของกีวี อาจจะยังไม่รู้ว่า กีวีก็ถูกจัดให้เป็นผลไม้ช่วยลดน้ำหนักตัวจี๊ดเหมือนกัน เพราะนอกจากกีวีจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์แล้ว เมล็ดสีดำเล็ก ๆ ของกีวียังเป็นไฟเบอร์ชนิดที่ไม่สามารถละลายได้ จึงช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร และทำให้คุณอิ่มได้นานขึ้น หมดปัญหาเรื่องกินจุบกินจิบอีกต่อไป

7.เกรปฟลุ๊ต
เกรปฟรุตครึ่งลูกให้พลังงานเพียงแค่ 37 กิโลแคลอรี่ แต่มีไฟเบอร์ในจำนวนที่มากกว่านั้นหลายเท่าตัว แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วเนอะ ว่าเกรปฟรุตเป็นผลไม้เหมาะจะกินเพื่อลดน้ำหนักสุด ๆ โดยเฉพาะหากกินเกรปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้อเช้าทุกวัน หุ่นสวยกระชับสุดเป๊ะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมจ้า

8.ลูกพีช
นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงมากแล้ว ลูกพีชยังมาพร้อมโพแทสเซียม และวิตามินอีกสารพัดชนิดที่ดีต่อร่างกาย แถมด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึงไปด้วยในตัว จัดเป็นผลไม้ลดความอ้วน และผลไม้เพื่อผิวสวยที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว

9.มะพร้าว
แม้มะพร้าวจะมีรสชาติหวานเจี๊ยบ แต่ความหวานนั้นก็เป็นน้ำตาลธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสารอาหาร และวิตามินที่เป็นประโยชน์กับร่างกายเราหลายชนิด โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมได้ถึง 30% เผาผลาญไขมันในตับได้เยอะขึ้น ส่งผลให้คุณลดน้ำหนักได้ผลเร็วขึ้นอีกต่างหาก
นอกจากนี้ ไขมันอิ่มตัวที่อยู่ในน้ำมันมะพร้าว เนื้อมะพร้าว หรือกะทิจากมะพร้าว ก็เป็นกรดไขมันที่อิ่มตัวโดยสมบูรณ์ โมเลกุลจึงแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวในอาหารต้องห้ามของคนไดเอตนะคะ ดังนั้นกินมะพร้าวเยอะแค่ไหน ก็ไม่ทำให้อ้วนได้เท่ากินอาหารขยะจานเดียวแน่ ๆ

10.ทับทิม
ทับทิมเป็นสุดยอดผลไม้ ที่ช่วยในเรื่องลดน้ำหนัก และล้างสารพิษในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะสารโพลีฟีนอล ตัวต้านสารอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งในทับทิม ที่ไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น ลดไขมันในเลือด ลดไขมันเลว LDL ล้างสารพิษในเลือด และช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนสะดวก เปล่งประกายผิวพรรณสดใสไปพร้อม ๆ กับกระชับสัดส่วนในคราวเดียวกัน

11.ส้ม
ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงลิ่ว ไธอามีน และโฟเลทในผลไม้ลูกเล็ก ๆ อย่างส้ม ทำให้ส้มเป็นผลไม้ที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญได้ดีอีกชนิดหนึ่ง อีกทั้งเนื้อส้มยังให้ไฟเบอร์ช่วยระบบขับถ่ายได้ถึง 5 กรัม ต่อส้มสดปริมาณ 1 ถ้วยตวง ในขณะที่ให้พลังงานกับร่างกายเพียงแค่ 85 กิโลแคลอรี่เท่านั้น
แต่ทั้งนี้ อย่าสับสนไปกินน้ำส้มคั้นนะคะ เพราะน้ำส้มคั้นจะให้สารอาหารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเป็นสารอาหารที่ค่อนข้างน้อยซะด้วยสิ อีกทั้งน้ำส้มยังทำให้คุณพลาดโอกาสได้รับไฟเบอร์จากเนื้อส้มอีกด้วย

12.มะม่วง
หลายคนไม่ยอมกินมะม่วงเลย เพราะเกรงว่าแป้ง และน้ำตาลในมะม่วงจะทำให้อ้วนขึ้น แต่จริง ๆ แล้วมะม่วง หรือแม้แต่มะม่วงสุก ไม่ได้ให้แค่น้ำตาล และรสชาติหวานลิ้นเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม ไฟเบอร์ 3 กรัมต่อปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน และให้พลังงานเพียงแค่ 130 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 ผลเท่านั้นเอง ดังนั้นกินมะม่วงในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่ได้ทำให้น้ำหนักคุณขึ้นแต่อย่างใดค่ะ

13.มะละกอ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามะละกอเป็นผลไม้ตัวแม่ที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย แต่จริง ๆ แล้วมะละกอมีดีกว่านั้นเยอะนะจ๊ะ เพราะนอกจากปริมาณไฟเบอร์มหาศาล มะละกอยังมีเอนไซม์ช่วยย่อย ทำให้อาหารที่เรากินเข้าไปถูกย่อย และดูดซึมได้โดยง่าย อีกทั้งมะละกอยังมีฟลาโวนอยด์ แคโรทีน วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระเป็นอาวุธชั้นดี เพื่อต่อสู้กับไขมัน และส่วนเกินของเราอีกด้วย
อย่างไรก็ตามผลไม้ช่วยลดน้ำหนักทั้งหมดนี้ ต้องกินควบคู่ไปกับอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมด้วยนะคะ ซึ่งนอกจากจะได้หุ่นสวยเช้งเป็นการตอบแทนแล้ว พฤติกรรมเพื่อสุขภาพอย่างนี้ยังใจดีมอบความสมบูรณ์แข็งแรง และผิวพรรณที่สวยเปล่งปลั่งให้คุณอีกอย่างหนึ่งด้วยจ้า

แยม(Jam)

แยม(JAM)
แยม เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากจากผลไม้ซึ่งอาจเป็นผลไม้ทั้งผล ผลไม้เป็นชิ้น เนื้อผลไม้ หรือผลไม้ปั่น ผสมกับน้ำตาลหรือ สารให้ความหวาน (sweetener) ชนิดอื่น จะผสมน้ำผลไม้หรือน้ำผลไม้เข้มข้นด้วยก็ได้ มีลักษณะเป็นเจล (gel) แยมมีลักษณะกึ่งเหลวมีความข้นเหนียวพอเหมาะ สามารถปาดหรือทาบนขนมปังได้ ส่วนมาร์มาเลด คือ แยม ที่ทำจากผลไม้ตระกูลส้มซึ่งอาจเป็นผลไม้ทั้งผล ผลไม้เป็นชิ้น เนื้อผลไม้ หรือผลไม้ปั่นผสมกับเปลือกหรือเนื้อผลไม้ชิ้นบางๆ และน้ำตาล หรือจะผสมน้ำผลไม้ตระกูลส้มด้วยก็ได้

การแปรรูปแยมเป็นการถนอมอาหารโดยการใช้น้ำตาลความเข้มข้นสูงเพื่อลดค่าวอเตอร์แอคทิวิตี้ (water activity) และมีค่า pH ต่ำ เพื่อป้องกันการเจริญของจุลินทรีย์ จัดอยู่ในกลุ่ม intermediate moisture food การเกิดเจล (gel) ของแยม เกิดจาก กรด น้ำตาล และเพกทิน (pectin) ผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยกรด น้ำตาล และเพกทิน เป็นส่วนประกอบที่มีอยู่แล้วในผลไม้ แต่อาจมีสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม
ส่วนผสมของแยม
ผลไม้ เช่น สตอรเบอรี่ องุ่น (grape) สับปะรด (pineapple) ท้อ (peach) มัลเบอรี่ (mulberry) ผิวส้ม มะม่วง กระเจี๊ยบแดงอาจเป็นผลไม้ทั้งผล เป็นชิ้น หรือเป็นเนื้อผลไม้บด (fruit puree) น้ำผลไม้เข้มข้น ผลไม้แช่เยือกแข็ง น้ำผลไม้
สารให้ความหวาน (sweetener) แยม ประกอบด้วยน้ำตาลร้อยละ 75 น้ำตาลที่ใช้ ได้แก่ น้ำตาลทราย (sucrose) น้ำเชื่อมกลูโคส (glucose syrup)
สารที่ทำให้เกิดเจล (gelling agent) ที่นิยมใช้คือ เพกทิน ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์
กรดอินทรีย์ (organic acid) เช่น กรดซิตริก (citric acid) เพื่อปรับค่าพีเอช (pH) ให้อยู่ระหว่าง 2.6-3.4
กรรมวิธีการผลิตแยม
1. การเตรียมวัตถุดิบ (raw material prepaaration) ได้แก่
การคัดขนาด (sizing) และคัดคุณภาพผลไม้ที่ดี ไม่เน่าเสีย ไม่เป็นโรค หรือมีรา
การล้างทำความสะอาด (wet cleaning) เพื่อกำจัดผงฝุ่นละอองวัตถุอันตรายทางการเกษตร (pesticides) และสิ่งอื่นที่ติดปนมาด้วย การปอกเปลือก (peeling) การลดขนาด (size reduction)
2. การทำให้เข้มข้น ต้มเนื้อผลไม้ผสมกับน้ำตาลในหม้อต้มระเหย ที่ความดันบรรยากาศ หรือในเครื่องทำระเหยสุญญากาศ (vacuum evaporator) เพื่อระเหยน้ำออก การเกิดลักษณะเป็นเจล (gel)
3. บรรจุขณะร้อนใส่ในขวดแก้วที่แห้งและสะอาด ปิดฝาให้สนิททันที
คุณภาพหรือมาตรฐานของแยม
ตาม ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 213) พ.ศ. 2543 เรื่อง แยม เยลลี่ และมาร์มาเลด ในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท กำหนดให้ แยม เยลลี่ และมาร์มาเลด ที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดผนึกสนิทต้องมีคุณภาพและมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
(1) มีกลิ่นรสตามลักษณะเฉพาะของแยม เยลลี่ หรือมาร์มาเลด แล้วแต่กรณี
(2) มีสารที่ละลายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 (หรือ 65 องศาบริกซ์) ของน้ำหนัก
(3) มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 2.8 ถึง 3.5
(4) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค (pathogen)
(5) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์หรือสารเป็นพิษอื่นในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
(6) ตรวจพบแบคทีเรียชนิดโคลิฟอร์ม (coliform) น้อยกว่า 3 ต่อแยม เยลลี่ หรือมาร์มาเลด 1 กรัม แล้วแต่กรณี โดยวิธี เอ็ม พี เอ็น (Most Probable Number)
(7) ไม่มีวัตถุที่ให้ความหวานชนิดอื่นนอกจากน้ำตาล
(8) ตรวจพบสารปนเปื้อนดังต่อไปนี้ได้ไม่เกิน
(8.1) ตะกั่ว 1 มิลลิกรัม ต่อแยม เยลลี่ หรือมาร์มาเลด 1 กิโลกรัม
(8.2) ดีบุก 250 มิลลิกรัม ต่อแยม เยลลี่ หรือมาร์มาเลด 1 กิโลกรัม (คำนวณเป็น Sn)

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

พันธุ์กล้วยในประเทศไทย

พันธุ์กล้วยในประเทศไทย
ประเทศไทยมีการปลูกกล้วยกันมาช้านาน กล้วยที่ปลูกมีมากมายหลายชนิด พันธุ์กล้วยที่ใช้ปลูกในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้น มีทั้งพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม และนำเข้ามาจากประเทศใกล้เคียง กล้วยที่รู้จักกันในสมัยสุโขทัยคือ กล้วยตานี และ
ปัจจุบันในจังหวัดสุโขทัยก็ยังมีการปลูกกล้วยตานีมากที่สุด แต่เรากลับไม่พบกล้วยตานีในป่า ทั้งๆ ที่กล้วยตานีก็เป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย จีน และพม่า ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่า กล้วยตานีน่าจะนำเข้ามา
ปลูกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยตอนต้น หรือช่วงการอพยพของคนไทยมาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย
ในสมัยอยุธยา เดอลาลูแบร์ (De La Loub`ere) อัครราชทูตชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาเมืองไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ได้เขียนบันทึกถึงสิ่งที่เขาได้พบเห็นในเมืองไทยไว้ว่า ได้เห็นกล้วยงวงช้าง ซึ่งก็คือ กล้วยร้อยหวี
ในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่ปลูกไว้เพื่อเป็นไม้ประดับนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่ากันมาว่า มีการค้าขายกล้วยตีบอีกด้วย แสดงให้เห็นว่า ได้มีการปลูกกล้วยทั้งเพื่อความสวยงาม และเพื่อการบริโภคกันมาช้านานแล้ว
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ ในรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านภาษาไทย ได้เขียนหนังสือ พรรณพฤกษากับสัตวาภิธาน เพื่อเป็นแบบเรียนภาษาไทยสำหรับใช้ในโรงเรียน กล่าวถึง
ชื่อของพรรณไม้และสัตว์ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทย โดยเรียบเรียงเป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ เพื่อให้ไพเราะและจดจำได้ง่าย ในหนังสือดังกล่าวมีข้อความที่พรรณนาถึงชื่อกล้วยชนิดต่างๆ ไว้ดังนี้

จากกาพย์ดังกล่าว ทำให้เราได้ทราบชนิดของกล้วยมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการปลูกกล้วยในสมัยนั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสประเทศต่างๆ หลายประเทศ จึงได้มีการนำกล้วยบางชนิดเข้ามาปลูกในรัชสมัยของพระองค์
หลังจากที่นักวิชาการชาวตะวันตกได้เริ่มจำแนกชนิดของกล้วยตามลักษณะทางพันธุกรรม โดยใช้จีโนมของกล้วยเป็นตัวกำหนดในการแยกชนิดตามวิธีของซิมมอนดส์ และเชบเฟิร์ด ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า กล้วยที่บริโภคกันอยู่ใน
ปัจจุบันมีบรรพบุรุษอยู่เพียง ๒ ชนิดเท่านั้น คือ กล้วยป่า และกล้วยตานี กล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยป่ามีจีโนมทางพันธุกรรมเป็น AA ส่วนกล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยตานีมีจีโนม เป็น BB และกล้วยลูกผสมของทั้ง ๒ ชนิด มีจีโนมเป็น AAB, ABB,
AABB และ ABBB นอกจากนี้ ซิมมอนดส์ยังได้จำแนกชนิดของกล้วยในประเทศไทยว่ามีอยู่ ๑๕ พันธุ์
ต่อมา นักวิชาการไทยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพันธุ์และชนิดของกล้วย คือ ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ และปวิณ ปุณศรี ได้ทำการรวบรวมพันธุ์กล้วยที่พบในประเทศได้ ๑๒๕ สายพันธุ์ และจากการจำแนกจัดกลุ่มแล้ว พบว่ามี ๒๐ พันธุ์
หลังจากนั้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๓ - ๒๕๒๖ เบญจมาศ ศิลาย้อย และฉลองชัย แบบประเสริฐ แห่งภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการสำรวจพันธุ์กล้วยในประเทศไทย และรวบรวมพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัยปากช่อง จังหวัด
นครราชสีมา โดยรวบรวมได้ทั้งหมด ๓๒๓ สายพันธุ์ แต่เมื่อจำแนกชนิดแล้ว พบว่ามีอยู่เพียง ๕๓ พันธุ์ หลังจากสิ้นสุดโครงการ ยังได้ทำการรวบรวมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีอยู่ ๗๑ พันธุ์ รวมทั้งกล้วยป่าและกล้วยประดับ ทั้งนี้ไม่นับ
รวมพันธุ์กล้วยที่ได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีอีกหลายพันธุ์ ปัจจุบันกล้วยในเมืองไทย ซึ่งจำแนกชนิดตามจีโนม มีดังนี้
๑. กลุ่ม AA
ที่พบในประเทศไทยมี กล้วยป่า สำหรับกล้วยกินได้ในกลุ่มนี้มีขนาดเล็ก รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสด ได้แก่ กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอมจันทร์ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยไข่จีน กล้วยน้ำนม กล้วยไล กล้วยสา กล้วยหอม กล้วยหอมจำปา กล้วยทองกาบดำ
๒. กลุ่ม AAA
กล้วยกลุ่มนี้มีจำนวน โครโมโซม 2n = 33 ผลจึงมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มแรก รูปร่างผลเรียวยาว มีเนื้อนุ่ม รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสดเช่นกันได้แก่ กล้วยหอมทอง กล้วยนาก กล้วยครั่ง กล้วยหอมเขียว กล้วยกุ้งเขียว กล้วยหอมแม้ว กล้วยไข่พระตะบอง กล้วยคลองจัง
๓. กลุ่ม BB
ในประเทศไทยจะมีแต่กล้วยตานี ซึ่งเป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย รับประทานผลอ่อนได้ โดยนำมาใส่แกงเผ็ด ทำส้มตำ ไม่นิยมรับประทานผลแก่ เพราะมีเมล็ดมาก แต่คนไทยและคนเอเชียส่วนใหญ่รับประทานปลีและหยวก ไม่มีกล้วยกินได้ในกลุ่ม BB ในประเทศไทย แต่พบว่ามีที่ประเทศฟิลิปปินส์
๔. กลุ่ม BBB
กล้วยในกลุ่มนี้เกิดจากกล้วยตานี (Musa balbisiana) เนื้อไม่ค่อยนุ่ม ประกอบด้วยแป้งมาก เมื่อสุกก็ยังมีแป้งมากอยู่ จึงไม่ค่อยหวาน ขนาดผลใหญ่ เมื่อนำมาทำให้สุกด้วยความร้อน จะทำให้รสชาติดีขึ้น เนื้อเหนียวนุ่ม เช่น กล้วยเล็บช้างกุด
๕. กลุ่ม AAB
กล้วยกลุ่มนี้เกิดจากการผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี เมื่อผลสุก มีรสชาติดีกว่ากล้วยกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยน้ำ กล้วยน้ำฝาด กล้วยนมสวรรค์ กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยไข่โบราณ กล้วยทองเดช กล้วยศรีนวล กล้วยขม กล้วยนมสาว แต่มีกล้วยกลุ่ม AAB บางชนิดที่มีความคล้ายกับ ABB กล่าวคือ เนื้อจะค่อนข้างแข็ง มีแป้งมาก เมื่อสุกเนื้อไม่นุ่ม ทั้งนี้อาจได้รับเชื้อพันธุกรรมของกล้วยป่าที่ต่าง sub species กัน จึงทำให้ลักษณะต่างกัน กล้วยในกลุ่มนี้เรียกว่า plantain subgroup ซึ่งจะต้องทำให้สุกโดยการต้ม ปิ้ง เผา เช่นเดียวกับกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยกล้าย กล้วยงาช้าง กล้วยนิ้วจระเข้ กล้วยหิน กล้วยพม่าแหกคุก
๖. กลุ่ม ABB
กล้วยกลุ่มนี้เป็นลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี มีแป้งมาก ขนาดผลใหญ่ ไม่นิยมรับประทานสด เพราะเมื่อสุกรสไม่หวานมาก บางครั้งมีรสฝาด เมื่อนำมาต้ม ปิ้ง ย่าง และเชื่อม จะทำให้รสชาติดีขึ้น ได้แก่ กล้วยหักมุกเขียว กล้วยหักมุกนวล กล้วยเปลือกหนา กล้วยส้ม กล้วยนางพญา กล้วยนมหมี กล้วยน้ำว้า สำหรับกล้วยน้ำว้าแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามสีของเนื้อ คือ น้ำว้าแดง น้ำว้าขาว และน้ำว้าเหลือง คนไทยรับประทานกล้วยน้ำว้า ทั้งผลสด ต้ม ปิ้ง และนำมาประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังมีกล้วยน้ำว้าดำ ซึ่งเปลือกมีสีครั่งปนดำ แต่เนื้อมีสีขาว รสชาติอร่อยคล้ายกล้วยน้ำว้าขาว สำหรับกล้วยตีบ เหมาะที่จะรับประทานผลสด เพราะเมื่อนำไปย่าง หรือต้มจะมีรสฝาด
๗. กลุ่ม ABBB
กล้วยในกลุ่มนี้เป็นลูกผสมเช่นกัน จึงมีแป้งมาก และมีอยู่พันธุ์เดียวคือ กล้วยเทพรส หรือกล้วยทิพรส ผลมีขนาดใหญ่มาก บางทีมีดอกเพศผู้หรือปลี บางทีไม่มี ถ้าหากไม่มีดอกเพศผู้ จะไม่เห็นปลี และมีผลขนาดใหญ่ ถ้ามีดอกเพศผู้ ผลจะมีขนาดเล็กกว่า มีหลายหวีและหลายผล การมีปลีและไม่มีปลีนี้เกิดจากการกลายพันธุ์แบบกลับไปกลับมาได้ ดังนั้นจะเห็นว่า ในกอเดียวกันอาจมีทั้งกล้วยเทพรสมีปลี และไม่มีปลี หรือบางครั้งมี ๒ - ๓ ปลี ในสมัยโบราณเรียกกล้วยเทพรสที่มีปลีว่า กล้วยทิพรส กล้วยเทพรสที่สุกงอมจะหวาน เมื่อนำไปต้มมีรสฝาด
๘. กลุ่ม AABB
เป็นลูกผสมมีเชื้อพันธุกรรมของกล้วยป่ากับกล้วยตานี กล้วยในกลุ่มนี้มีอยู่ชนิดเดียวในประเทศไทย คือ กล้วยเงิน ผลขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายกล้วยไข่ เมื่อสุกผิวสีเหลืองสดใส เนื้อผลสีส้ม มีแป้งมาก รับประทานผลสด(br) นอกจากกล้วยดังที่ได้กล่าวแล้ว ยังมีกล้วยป่าที่เกิดในธรรมชาติซึ่งมีเมล็ดมาก ทั้งกล้วยในสกุล Musa acuminata และ Musa itinerans หรือที่เรียกว่า กล้วยหก หรือกล้วยอ่างขาง และกล้วยป่าที่เป็นกล้วยประดับ เช่น กล้วยบัวสีส้ม และกล้วยบัวสีชมพู